The post 0346 | การเปลี่ยน Hard Disk ที่เสียใน Synology NAS appeared first on :) ไอกอล์ฟ.
]]>วันนี้จึงมาสอนวิธีการเปลี่ยน HDD ที่เสียใน Synology NAS กันครับ ซึ่งรุ่นที่ผมใช้งานอยู่จะเป็น Synology 920+, DSM 7.2.1 ทำ RAID 5 เอาไว้ครับ
ก่อนอื่นแนะนำให้สำรองข้อมูลที่สำคัญไว้ก่อน ป้องกันการผิดพลาดที่อาจคาดไม่ถึง แต่ที่จริงการใช้งานปกติ ก็ควรมีสำรองไว้ที่อื่นอีกสักที่อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเก็บไฟล์ไว้ใน Hard Disk External หรือจะเก็บไว้บน Cloud ก็ได้
ให้ไปที่เมนู Storage Manger ->HDD/SSD เลือก Disk ที่มีปัญหา และกดที่เมนู Action ->Deactive Drive
แสดงหน้าต่างคำเตือน ให้เราติ๊กถูกว่าเราเข้าใจ และลบ disk ออกจาก pool แล้วกด OK
จากนั้นใส่รหัสผ่านของผู้ใช้ระดับ Admin ลงไป (ไม่จำเป็นต้องเป็นของ Username : admin) และกด Submit
จากนั้นจะแสดงข้อความว่า ได้ถอดการใช้งาน Disk ของเราเรียบร้อยแล้ว และ NAS ของเราจะส่งเสียงแจ้งเตือน
ตัวอย่างของเสียงแจ้งเตือน
ให้ทำการ Shutdown ตัว NAS ก่อนที่จะถอด Disk ตัวเก่าออกมา แต่หากรุ่นที่ใช้งานอยู่รองรับ Hot Swap ก็ไม่จำเป็นต้องปิดเครื่อง
ถอดถาดใส่ HDD ช่องที่เราได้ทำการ Deactivate ออกมาแล้วทำการเปลี่ยน HDD ให้เรียบร้อย และใส่กลับเข้าไปในช่องเดิม
จากนั้นให้เปิดเครื่อง NAS อีกครั้ง และเมื่อเข้าสู่ NAS หน้าต่าง Storage Manager จะเปิดขึ้นมาให้อัตโนมัติ และแจ้งเตือนให้เราทำการ Repair
จากนั้นให้คลิกที่ จุด 3 จุด ด้านขวาแล้วเลือก Repair
จะแสดง Disk ตัวที่เราเพิ่งใส่เข้าไปใหม่ คลิกเลือก Disk แล้วกด Next
แสดงหน้าต่างยืนยัน จากนั้นกด Apply
หน้าต่างแจ้งเตือนว่า ข้อมูลใน Disk ลูกใหม่นั้นจะถูกลบออก จะยืนยันทำต่อไปหรือไม่ ให้กด OK
จากนั้นจะแสดงหน้าต่าง กำลังซ่อมแซม โดยจะแสดง % การทำงาน และเวลาที่จะแล้วเสร็จคร่าวๆ อาจจะมีขึ้นลงได้เป็นเรื่องปกติ เวลาในตรงนี้จะช้าหรือเร็วขึ้นกับขนาด Disk ของเราด้วยครับ โดยของผมใส่ Disk ขนาด 6 TB ใช้วลาประมาณ 9 ชั่วโมงครับ
เป็นอันเรียบร้อยครับ สำหรับวิธีการเปลี่ยน HDD ใน Synology NAS
The post 0346 | การเปลี่ยน Hard Disk ที่เสียใน Synology NAS appeared first on :) ไอกอล์ฟ.
]]>The post 0345 | ใช้ Cloudflare ทำ DDNS บน Synology appeared first on :) ไอกอล์ฟ.
]]>แต่หากเราใช้บริการของ Cloudflare อยู่แล้ว เราเองก็อยากจะใช้เป็นชื่อโดเมนของตัวเอง แต่ใน DSM ไม่มีผู้ให้บริการที่เป็น Cloudflare ให้เลือก ซึ่ง หากใครต้องการใช้ชื่อโดเมนตัวเองที่ใช้บริการ Cloudflare อยู่ จะต้องชี้ CNAME ไปทีชื่อ DDNS ของผู้ให้บริการอื่นที่รองรับ
ด้วยความที่สงสัยว่า เราจะสามารถเพิ่มผู้ให้บริการ DDNS เข้าไปใน DSM เองได้หรือไม่ เลยได้ลองไปสำรวจในระบบ และได้เจอกับ script ของผู้บริการรายอื่นในระบบ จึงได้คัดลอกมาเป็นต้นแบบและเขียนเพิ่มเข้าไป เพื่อเรียกใช้ cloudflare api วันนี้เลยนำไฟล์ที่เขียนมาแจกให้ใช้งานกัน โดยมีขั้นตอนการติดตั้ง และตั้งค่าดังนี้ครับ
1. เปิดการใช้งาน SSH Service โดยเข้าไปที่ Control Panel -> Terminal & SNMP จากนั้นทำเครื่องหมายถูกหน้า Enable SSH Service และหากเปิด Firewall เอาไว้ อย่าลืมเปิด port 22 หรือ port อื่นที่ตั้งค่าเอาไว้ด้วยครับ
2. ใช้ User ที่มีสิทธิ์เป็น Admin เข้า SSH เมื่อเข้าได้แล้ว เปลี่ยนสิทธิ์เป็น root ด้วยคำสั่งด้านล่างนี้
sudo -i
3. ดาวน์โหลด Script จาก Github วางไว้ที่ /usr/syno/bin/ddns/cloudflareddns.php
wget https://raw.githubusercontent.com/Freedomlover/SynologyCloudflareDDNS/main/cloudflareddns.php -O /usr/syno/bin/ddns/cloudflareddns.php
4. กำหนดสิทธิ์ให้กับไฟล์
chmod +x /usr/syno/bin/ddns/cloudflareddns.php
5. เพิ่มการตั้งค่า DDNS เพื่อให้เรียกใช้งาน Script ที่ดาวน์โหลดมา โดยให้คัดลอกทีละบรรทัด
echo "[Cloudflare DDNS]">>/etc.defaults/ddns_provider.conf
echo " modulepath=/usr/syno/bin/ddns/cloudflareddns.php">>/etc.defaults/ddns_provider.conf
echo " queryurl=https://www.cloudflare.com">>/etc.defaults/ddns_provider.conf
echo " website=https://www.cloudflare.com">>/etc.defaults/ddns_provider.conf
เสร็จขั้นตอนการติดตั้งครับ
สำหรับค่าพารามิเตอร์ที่จำเป็นต้องใช้มีด้วยกัน 2 ค่า คือ Zone ID และ API Tokens
1. Zone ID ให้คลิกเข้าไปที่โดเมนที่เราต้องการใช้งาน จากนั้นจะมาที่หน้า Overview รหัส Zone ID จะอยู่ทางขวาของจอ
2. การสร้าง API Tokens ให้ไปที่เมนู My Profile -> API Tokens คลิกปุ่ม Create Token
3. คลิก Use template ในส่วนของ Edit zone DNS
4. ในส่วน Permissions ให้เลือก Zone, DNS, Edit และในส่วนของ Zone Resources ให้เลือกเป็น Include, Specific zone, ชื่อโดเมนที่ต้องการ จากนั้นกดปุ่ม Continue to summary และกดปุ่ม Create Token และให้คัดลอก API Token เก็บเอาไว้
เมื่อติดตั้งเรียบร้อยแล้ว จะมีรายชื่อผู้ให้บริการ DDNS เป็นชื่อ Cloudflare DDNS เพิ่มเข้ามา โดยการตั้งค่ามีดังนี้
1. ไปที่ Control Panel -> External Access จากนั้นกด Add เพื่อเพิ่ม DDNS ใหม่ โดยให้เลือก Cloudflare DDNS
2 ให้ใส่ข้อมูลดังนี้
จากนั้นกดปุ่ม Test Connection เพื่อทดสอบว่าสามารถทำงานได้หรือไม่ หากไม่มีข้อผิดพลาด กดปุ่ม OK เพื่อเพิ่ม DDNS เข้าสู่ระบบ
เพียงเท่านี้ เราก็ได้ชื่อโดเมนของเราเอง มาทำ DDNS กันได้ใช้งานฟรีๆแล้วครับ
ตรวจสอบความถูกต้อง DNS ใน Cloudflare
หากมีปัญหาการใช้งาน สามารถตรวจสอบการอัปเดตได้จาก Github ครับ
The post 0345 | ใช้ Cloudflare ทำ DDNS บน Synology appeared first on :) ไอกอล์ฟ.
]]>The post 0344 | วิธีปิด QuickConnect ใน Synology NAS appeared first on :) ไอกอล์ฟ.
]]>ในตอนแรกก็คิดว่าจะปล่อยไป คงไม่พยายามจะปิดมันแล้ว และอาจจะเป็นที่สาเหตุอื่นก็ได้ แต่เมื่อไปตรวจสอบใน AdGuard Home ซึ่งผมใช้เป็น DNS Server ภายในบ้าน พบว่ามีการร้องขอ DNS มาถี่ๆจาก NAS ซึ่งเป็นชื่อโดเมน global.quickconnect.to เลยมั่นใจแล้วว่า คงเป็นเพราะ QuickConnect แน่ๆ ที่กำลังทำงานอยู่
เลยได้ลองค้นหาวิธีในการปิด service แต่ไปเจอวิธี uninstall service ตัวอื่นแทน ซึ่งกับ quickconnect ก็คงใช้วิธีไม่ต่างกัน และได้ลองใช้ดู ก็สามารถสั่ง stop service quickconnect ได้ครับ โดยวิธีการคือ
ให้เข้า SSH แล้วพิมพ์คำสั่งด้านล่างนี้ครับ
/usr/syno/bin/synopkg stop QuickConnect
หรือหากไม่สะดวกที่จะเข้า ssh ให้ไปเพิ่มคำสั่งดังกล่าวเอาไว้ใน Task Scheduler ก็ได้ครับ โดยให้ไปที่ Control Panel -> Task Scheduler
เลือก Create -> Triggered Task -> User-defined script
จากนั้นตั้งชื่อ Task เลือก User เป็น root และ Event เป็น Boot-up ตามภาพ
ส่วนของ Task Settings ให้ใส่ script ด้านบนที่ให้พิมพ์ใน ssh ลงไปได้เลยครับ
เมื่อสร้าง Task เสร็จแล้ว ให้เรามาเลือก task ที่เราสร้างไว้ แล้วกด Run เพื่อให้ทำงาน และเมื่อเปิดเครื่องครั้งต่อไป task นี้จะทำงานอัตโนมัติครับ
เพียงเท่านี้ เราก็สามารถสั่ง Stop Service QuickConnect ใน Synology NAS ได้แล้วครับ และหลังจากปิดไปแล้ว เสียงของ NAS ผมก็เงียบลง เมื่อไม่มีการใช้งานครับ และเมื่อลองเปิด service ใหม่อีกครั้ง ก็เงียบลงเช่นกันครับ เลยไม่ทราบสาเหตุเกิดจากอะไร
และหากใครต้องการ Uninstall ออกไปเลย ก็ให้ใช้คำสั่ง
/usr/syno/bin/synopkg uninstall QuickConnect
แต่ผมแนะนำให้ stop service เอาไว้ก็พอครับ
The post 0344 | วิธีปิด QuickConnect ใน Synology NAS appeared first on :) ไอกอล์ฟ.
]]>The post 0343 | เข้าถึง Synology NAS จากนอกบ้านได้ง่ายๆด้วย Tailscale appeared first on :) ไอกอล์ฟ.
]]>1. เข้าไปที่เว็บไซต์ https://tailscale.com จากนั้นกดที่เมนู Try for free ซึ่งไม่ต้องกังวลครับ เราสามารถใช้งานได้ฟรี แต่จะจำกัดที่ 3 user และ 100 device (เยอะมาก) สามารถดูรายละเอียดได้จากหน้านี้ครับ https://tailscale.com/pricing/
2. ให้เลือกเข้าสู้ระบบจากผู้ให้บริการต่างๆจากในตัวเลือกครับ ในที่นี้ผมเลือกเข้าระบบด้วย Github
3. เมื่อเข้าสู่ระบบสำเร็จแล้ว จะบบจะแจ้งให้ติดตั้งและเข้าระบบด้วยบัญชีเดียวกัน แล้ว Tailscale จะสร้าง Network ให้อัตโนมัติ
1. เปิด Synology NAS เข้าไปที่ Package Center และค้นหา tailscale และกด Install
2. เข้าไปที่ Main Menu จากนั้นกดเปิด Tailscale ขึ้นมา
3. จะมีหน้าต่างใหม่ขึ้นมาให้ Log in ให้เข้าระบบด้วยบัญชีเดียวกันกับที่สมัครเอาไว้
4. เมื่อ Log in ผ่านแล้ว กดที่ปุ่ม Connect
5. เมื่อเชื่อมต่อได้แล้ว จะขึ้นหน้าต่าง Login successful และรอสักครู่ รายชื่ออุปกรณ์ตัวแรกของเราก็จะแสดงขึ้นมา โดยแนะนำให้ติดตั้งในอุปกรณ์ที่ 2 โดยอาจจะเป็นในโทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นก็ได้ครับ
6. เปิด TUN โดยอาศัยคำสั่งด้านล่างไปใส่ไว้ใน Task Scheduler เพื่อให้รันคำสั่งทุกครั้งที่เปิดเครื่องใหม่
/var/packages/Tailscale/target/bin/tailscale configure-host; synosystemctl restart pkgctl-Tailscale.service
1. ตัวอย่างนี้ผมจะแนะนำการติดตั้งลงบนโทรศัพท์ Android ครับ โดยให้เข้าไปที่ Play Store แล้วค้นหา Tailscale หรือคลิกที่นี่ https://play.google.com/store/apps/details?id=com.tailscale.ipn
2. เปิด App Tailscale ขึ้นมา ซึ่งจะเจอหน้าให้ Log in โดยค่าเริ่มต้นจะแสดงเฉพาะ เข้าระบบด้วย Google เท่านั้น หากใช้บริการอื่น ให้คลิกที่ Sign in with other
3. กด Connect และรอจนขึ้นข้อความ Login successful
4. กลับมาที่หน้าต่างของ App Tailscale จะแสดงรายชื่ออุปกรณ์ทั้งหมดที่เชื่อมต่ออยุ่
5. ทดสอบ ping ดูจาก Internet มือถือ เพื่อทดสอบความเรียบร้อยว่าสามารถเข้าถึงได้หรือไม่ หรือจะลองเปิด url ในการเข้า NAS ใน Browser ก็ได้ครับ และหาก NAS เปิด Firewall ไว้ ให้ไป Allow IP ด้วยครับ หรือจะเปิดทั้งหมดให้เพิ่ม ip subnet 100.64.0.0 subnet mask 255.192.0.0
1. การติดตั้งบน Linux นั้นง่ายมากครับ เพียงใช้คำสั่งด้านล่างนี้
curl -fsSL https://tailscale.com/install.sh | sh
2. จากนั้นใช้คำสั่ง tailscale up จะแสดง URL ให้เรา copy ไปเปิดใน Browser และทำการ Log in และ Connect
tailscale up
3. เมื่อ Log in และ Connect เรียบร้อยแล้ว จะขึ้นข้อความ Success.
ตรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้งในหน้า Machines https://login.tailscale.com/admin/machines
เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อยครับ หากต้องการติดตั้งบนอุปกรณ์อื่นอีก ให้เข้าไปที่ลิงก์นี้ครับ https://tailscale.com/download พร้อมกับมีวิธีติดตั้ง ตั้งค่าเบื้องต้นให้แล้วครับ
The post 0343 | เข้าถึง Synology NAS จากนอกบ้านได้ง่ายๆด้วย Tailscale appeared first on :) ไอกอล์ฟ.
]]>The post 0342 | วิธีการ Export Putty Sessions appeared first on :) ไอกอล์ฟ.
]]>เปิด Powershell แล้วพิมพ์คำสั่งตามด้านล่าง โดยจะบันทึกเป็นไฟล์ putty-sessions.reg เอาไว้ที่ Desktop
reg export HKCU\Software\SimonTatham ([Environment]::GetFolderPath("Desktop") + "\putty-sessions.reg")
เป็นอันเสร็จ เมื่อต้องการ import sessions กลับคืน ก็แค่ดับเบิลคลิกไฟล์ที่ Export ออกมาครับ
The post 0342 | วิธีการ Export Putty Sessions appeared first on :) ไอกอล์ฟ.
]]>The post 0341 | ติดตั้ง WireGuard VPN บน Rocky Linux appeared first on :) ไอกอล์ฟ.
]]>คัดลอกคำสั่งด้านล่างนี้ลงไปวางได้เลย
wget https://git.io/wireguard -O wireguard-install.sh && bash wireguard-install.sh
หลังจากนั้นจะมีให้ตั้งค่าเล็กน้อย โดยจะถามว่า ต้องการใช้เป็น public IPv4 หรือจะใช้เป็น hostname ซึ่งหากใครติดตั้งบน VPS หรือบน Cloud หรือใช้งานอินเทอร์เน็ตที่มี public IPv4 เป็นแบบ static ip ก็สามารถใช้ได้เลย แต่หากเป็นอินเทอร์เน็ตบ้านที่ได้มาเป็น dynamic ip แนะนำให้ใช้เป็น hostname ครับ โดยใช้บริการ ddns ของเจ้าไหนก็ได้ครับ แล้วใส่ชื่อที่ได้ลงไป
ต่อมา กำหนด port โดยผมจะใช้เป็นค่าเริ่มต้น คือ 51820 โดยสามารถกด Enter ได้เลย
จากนั้นตั้งชื่อ Client name โดยกำหนดชื่ออะไรลงไปก็ได้ครับ
ต่อมาเลือก DNS Server โดยในตัวอย่างนี้ผมได้เลือกใช้ของ Cloudflare หรือ 1.1.1.1 ซึ่งอยู่ในตัวเลือกที่ 3
หลังจากนั้นจะมีข้อความขึ้นว่า “WireGuard installation is ready to begin.” โดยให้กดปุ่มอะไรก็ได้ หรือจะกด Enter ก็ได้ครับ
รอสักครุ่ ก็จะขึ้น QR Code มาให้สแกนในมือถือ หรือจะเข้าไปเอาไฟล์ config ได้ใน /root/clientnamexxx.conf
เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จครับ
หากต้องการสร้าง client เพิ่มขึ้นได้ โดยรันคำสั่งเดิมอีกครั้ง คือ
wget https://git.io/wireguard -O wireguard-install.sh && bash wireguard-install.sh
จากนั้นจะมีตัวเลือกให้ เพิ่ม client ใหม่, ลบ client เดิมออก, ลบ wireguard หรือกดออก หน้าตาดังรูปครับ
The post 0341 | ติดตั้ง WireGuard VPN บน Rocky Linux appeared first on :) ไอกอล์ฟ.
]]>The post 0340 | แก้ปัญหาไม่สามารถอัพโหลดหรือสร้างไฟล์ได้ใน NextCloud appeared first on :) ไอกอล์ฟ.
]]>ให้รันไฟล์ occ ที่อยู่ใน root path ของ nextcloud ด้วยคำสั่งนี้ครับ และอย่าลืมเปลี่ยนชื่อ user ด้วยครับ
sudo -u user ./occ files:scan --all
ที่มา https://github.com/owncloud/core/issues/11449
The post 0340 | แก้ปัญหาไม่สามารถอัพโหลดหรือสร้างไฟล์ได้ใน NextCloud appeared first on :) ไอกอล์ฟ.
]]>The post 0339 | การอัพเดต UniFi OS Console appeared first on :) ไอกอล์ฟ.
]]>เริ่มต้น ต้องเข้าไปเปิดใช้งาน SSH ก่อน โดยไปที่เมนู Settings -> System แล้วเลือก Enable SSH ดังรูป
จากนั้นให้ ssh โดยใช้ username root และรหัสผ่านที่ได้ตั้งไว้
จากนั้นให้ไปที่หน้าเว็บไซต์ https://community.ui.com/releases เพื่อเลือกเวอร์ชั่นที่ต้องการ แนะนำว่า ก่อนอัพเดต ให้อ่านความคิดเห็นของแต่ละเวอร์ชั่นก่อนว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่ หากไม่มีปัญหาก็คัดลอง URL ของ firmware มาได้เลยครับ ตัวอย่างเช่น ผมต้องการอัพเดต UniFi OS – Dream Machines 1.12.22 ซึ่งผมใช้ UDM Pro อยู่ เลือกให้ตรงกับอุปกรณ์ที่เราใช้งานอยู่ด้วยครับ
จากนั้นพิมพ์คำสั่ง
ubnt-upgrade <link>
ตัวอย่างเช่น
ubnt-upgrade https://fw-download.ubnt.com/data/udm/1b5a-udmpro-1.12.22-fa72cb6cf9ed43e9a9b6296a2a4782ac.bin
จากนั้น Enter แล้วรอจนเครื่อง reboot และ ssh จะหลุดไปเอง
เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อยครับ
The post 0339 | การอัพเดต UniFi OS Console appeared first on :) ไอกอล์ฟ.
]]>The post 0338 | วิธีการย้ายอีเมลด้วย imapsync appeared first on :) ไอกอล์ฟ.
]]>แต่ก่อนอื่น สาเหตุที่ได้มาเขียนบทความนี้ เนื่องจาก ทาง Google ได้เริ่มส่งอีเมลแจ้งว่า จะเลิกให้บริการ G Suite แบบฟรี ซึ่งผมได้สมัครใช้งานกับโดเมน igolf.in.th นี้มาตั้งแต่ปี 2011 หรือประมาณ 11 ปีที่แล้ว โดยจะให้ย้ายไปใช้งาน Google Workspace ซึ่งจะเริ่มเก็บเงินวันที่ 1 กรกฎาคม ตามข่าวนี้ (กูเกิลเลิกให้บริการ G Suite ฟรี บังคับจ่ายเงินภายในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้)
ซึ่งผมเองใช้แบบฟรีอยู่ด้วยกัน 2 โดเมน โดยอีกโดเมนใช้ในการทำธุรกิจ คงจะใช้ต่อไปโดยยอมเสียเงิน แต่สำหรับโดเมน golf.in.th นี้ใช้เป็นอีเมลส่วนตัว ซึ่งก็ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะไปใช้งาน Google Workspace ให้เปลืองเงิน
วันนี้ก็เลยตัดสินใจย้ายข้อมูลอีเมลทันที โดยมีอีเมลอยู่ด้วยกัน 2 บัญชีเท่านั้น สาเหตุที่ย้ายตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะหากมีปัญหาอะไร จะได้แก้ไขทัน
ก่อนอื่น สิ่งที่ต้องเตรียมคือ username, password ของทั้งต้นทาง และปลายทางที่จะย้ายไป แล้วพิมพ์คำสั่งตามด้านล่างนี้
imapsync --host1 server1.imap.tld --user1 [email protected] --password1 password1 --ssl1 --host2 server2.imap.tld --user2 [email protected] --password2 password2 --ssl2
สิ่งที่ต้องแก้ไขคือ
server1.imap.tld = imap server ต้นทาง เช่นของ google imap.gmail.com
[email protected] = username ต้นทาง ส่วนใหญ่ก็คือชื่ออีเมล
server2.imap.tld = imap server ปลายทางที่จะย้ายไป เช่น imap.igolf.in.th
[email protected] = username ปลายทาง
สำหรับ option –ssl1 และ –ssl1 หาก server ไม่รองรับ ssl ก็ให้เอาออกด้วยครับ
หรือสามารถใช้ออฟชั่นให้อ่านรหัสผ่านจากไฟล์ก็ได้ครับ โดยทำตามขั้นตอนดังนี้
สร้างไฟล์ในการเก็บรหัสผ่านขึ้นมาก่อน
echo "pass1" > /root/imapsync/password1
echo "pass2" > /root/imapsync/password2
chmod 600 /root/imapsync/password1
chmod 600 /root/imapsync/password2
โดยเปลี่ยน pass1 เป็นรหัสผ่านของต้นทาง และ pass2 เป็นรหัสผ่านของปลายทาง แล้ววางคำสั่งตามด้านล่างนี้
imapsync --host1 server1.imap.tld --user1 [email protected] --passfile1 /root/imapsync/password1 --ssl1 --host2 server2.imap.tld --user2 [email protected] --passfile2 /root/imapsync/password2 --ssl2
หลังจากนั้นก็รอ
ระหว่างรอ ก็สามารถเข้าไปดูอีเมลที่ได้ sync มาแล้วบางส่วนก็ได้ โดย folder ต่างๆที่สร้างเอาไว้ก็จะมีเหมือนกันทั้งหมด
เมื่อเสร็จแล้วจะขึ้นข้อมูลดังรูป โดยให้ตรวจสอบด้วยว่ามี error หรือไม่
เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อยครับ
The post 0338 | วิธีการย้ายอีเมลด้วย imapsync appeared first on :) ไอกอล์ฟ.
]]>The post 0337 | วิธีติดตั้ง imapsync บน Rocky Linux appeared first on :) ไอกอล์ฟ.
]]>สำหรับ imapsync นั้นเป็นเครื่องมือในการย้ายอีเมล จากอีกที่หนึ่ง ไปยังอีกที่หนึ่ง โดยผ่าน imap โดยในบทความนี้ ผมจะติดตั้งบน Rocky Linux 8.5 ครับ ส่วนวิธีติดตั้งใน OS อื่นๆ สามารถดูเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ผู้พัฒนาครับ https://imapsync.lamiral.info/ หรือใครต้องการติดตั้งบน AlmaLinux, Centos 8 ก็ได้เช่นกัน
เริ่มต้น update os ให้เรียบร้อย จากนั้นติดตั้ง imapsync ด้วยคำสั่งด้านล่างนี้
dnf install epel-release
dnf install --enablerepo=powertools imapsync
และทดสอบด้วยคำสั่ง
imapsync --testslive
หากไม่มี error ใดๆ ก็เป็นอันเสร็จสิ้นการติดตั้งครับ ส่วนวิธีการใช้งาน รอติดตามได้ในบทความถัดไปครับ
The post 0337 | วิธีติดตั้ง imapsync บน Rocky Linux appeared first on :) ไอกอล์ฟ.
]]>The post 0336 | การตั้งค่า Pi-Hole ให้ใช้งาน DNS-over-HTTPS (DoH) appeared first on :) ไอกอล์ฟ.
]]>ก่อนอื่น เราทดสอบก่อนว่า การเชื่อมต่อ DNS ของเรา ได้ใช้งานผ่าน DoH แล้วหรือยัง โดยเข้าไปที่ https://1.1.1.1/help โดยในรูปด้านล่างนี้เป็นตัวอย่างการเชื่อมต่อที่ยังไม่เปิดใช้งาน DoH ครับ ซึ่งในส่วนของ Using DNS over HTTPS (DoH) จะขึ้นเป็น No
เริ่มการติดตั้ง
wget https://github.com/cloudflare/cloudflared/releases/latest/download/cloudflared-linux-x86_64.rpm
sudo yum install cloudflared-linux-x86_64.rpm
จากนั้นตรวจสอบเวอร์ชั่นดูว่าเราได้ติดตั้งเรียบร้อยหรือไม่
cloudflared -v
หากติดตั้งเรียบร้อยก็จะขึ้นเวอร์ชั่นดังรูปตัวอย่าง
ต่อไป สร้าง user cloudflared
sudo useradd -s /usr/sbin/nologin -r -M cloudflared
สร้างไฟล์ configuration ของ cloudflared
nano /etc/default/cloudflared
คัดลอกข้อความด้านล่างไปใส่ในไฟล์ configuration
# Commandline args for cloudflared, using Cloudflare DNS
CLOUDFLARED_OPTS=--port 5053 --upstream https://1.1.1.1/dns-query --upstream https://1.0.0.1/dns-query
กำหนด Permission ของไฟล์ configuration
sudo chown cloudflared:cloudflared /etc/default/cloudflared
sudo chown cloudflared:cloudflared /usr/local/bin/cloudflared
สร้างไฟล์ systemd script เพื่อเอาไว้ start, stop, restart service cloudflared
sudo nano /etc/systemd/system/cloudflared.service
นำ Code ด้านล่างไปใส่
[Unit]
Description=cloudflared DNS over HTTPS proxy
After=syslog.target network-online.target
[Service]
Type=simple
User=cloudflared
EnvironmentFile=/etc/default/cloudflared
ExecStart=/usr/local/bin/cloudflared proxy-dns $CLOUDFLARED_OPTS
Restart=on-failure
RestartSec=10
KillMode=process
[Install]
WantedBy=multi-user.target
จากนั้น Enable service cloudflared แล้วลอง start และเช็คสถานะการทำงานดู
sudo systemctl enable cloudflared
sudo systemctl start cloudflared
sudo systemctl status cloudflared
หากทุกอย่างทำงานปกติ จะขึ้นดังรูปตัวอย่างครับ
ต่อไปทดสอบการทำงานด้วยคำสั่ง dig หากมีการตอบกลับ ip มา แสดงว่าทุกอย่างทำงานได้ตามปกติครับ
dig @127.0.0.1 -p 5053 google.com
ต่อมา ให้ไปหน้า settings ของ Pi-hole โดยไปที่เมนู Settings จากนั้นกดที่ tab DNS ในส่วนของ Upstream DNS Servers ให้ติ๊กออกให้หมด แล้วไปกำหนดค่า DNS ที่ส่วน Custom โดยเพิ่ม 127.0.0.1#5053 ลงไปดังรูป
จากนั้นลองเข้าเว็บไซต์ https://1.1.1.1/help เพื่อตรวจสอบสถานะอีกครั้บ หากใช้งานได้แล้ว ในส่วนของ Using DNS over HTTPS (DoH) จะเปลี่ยนจาก No เป็น Yes ดังรูป
เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อยครับ โดยวิธีนี้จะทำให้ Device ภายในบ้านสามารถใช้งาน DNS over HTTPS (DoH) ได้ทุกเครื่องโดยไม่ต้องไปตั้งค่ารายเครื่อง แต่จะต้องชี้ DNS ให้มาที่ Pi-hole โดยวิธีที่ผมใช้ จะกำหนดค่าใน DHCP Server ให้ใช้ DNS ของ pi-hole ครับ
The post 0336 | การตั้งค่า Pi-Hole ให้ใช้งาน DNS-over-HTTPS (DoH) appeared first on :) ไอกอล์ฟ.
]]>The post 0335 | การอนุญาตให้ Ping ได้จากภายนอกใน UDM Pro appeared first on :) ไอกอล์ฟ.
]]>วิธีคือ ให้ไปที่ Firewall คลิกสร้าง Rule ใหม่ แล้วกำหนดค่าดังนี้
Type : Internet Local
Descript : WAN Allow Ping Request
Action : Accept
IPv4 Protocol : ICMP
IPv4 ICMP Type Name : Echo Request
ในส่วนอื่นๆ ไม่ต้องเปลี่ยนค่าใดๆครับ หรือสามารถดูได้จากรูปตัวอย่าง
และสร้าง Rule ขึ้นมาใหม่อีกกฎ และใส่ค่าตามนี้ครับ
Type : Internet Local
Description : WAN Allow Ping Reply
Action : Accept
IPv4 Protocol : ICMP
IPv4 ICMP Type Name : Echo Reply
หรือตามรูปตัวอย่าง ดังนี้ครับ
เพียงเท่านี้ก็จะสามารถ ping จากภายนอกเข้ามาได้แล้วครับ หรือเราสามารถกำหนดเพิ่มเติมว่า อนุญาตให้เฉพาะหมายเลข โดยคลิกที่ Source แล้วกำหนด IP หรือเงื่อนไขอื่นๆลงไปครับ
The post 0335 | การอนุญาตให้ Ping ได้จากภายนอกใน UDM Pro appeared first on :) ไอกอล์ฟ.
]]>