แก้ไข /etc/httpd/conf/httpd.conf
จาก
[code]
Listen 80
[/code]
เป็น
[code]
Listen 8080
[/code]

แก้ไขไฟล์ /etc/httpd/conf/extra/httpd-vhosts.conf
จาก
[code]
Include /etc/httpd/conf/ips.conf

#
#
<VirtualHost 123.123.123.123:80>
[/code]
เป็น
[code]
#Include /etc/httpd/conf/ips.conf
LogFormat "%O \"%r\"" homedir
NameVirtualHost 127.0.0.1:8080
NameVirtualHost 123.123.123.123:8080
NameVirtualHost 123.123.123.123:443
#
#
<VirtualHost 127.0.0.1:8080 123.123.123.123:8080>
[/code]
คัดลอกไฟล์ template มาไว้ใน custom เพื่อแก้ไข (ไฟล์ใน custom จะไม่ถูกทับเมื่อ update DirectAdmin)
[code]
cp -p /usr/local/directadmin/data/templates/virtual_host2.conf /usr/local/directadmin/data/templates/custom/virtual_host2.conf
cp -p /usr/local/directadmin/data/templates/virtual_host2_sub.conf /usr/local/directadmin/data/templates/custom/virtual_host2_sub.conf
cp -p /usr/local/directadmin/data/templates/redirect_virtual_host.conf /usr/local/directadmin/data/templates/custom/redirect_virtual_host.conf
[/code]
และแก้ไขไฟล์ต่อไปนี้ ที่เพิ่งคัดลอกไป โดยแก้เหมือนกันทั้ง 3 ไฟล์
/usr/local/directadmin/data/templates/custom/virtual_host2.conf
/usr/local/directadmin/data/templates/custom/virtual_host2_sub.conf
/usr/local/directadmin/data/templates/custom/redirect_virtual_host.conf
จาก
[code]
<VirtualHost |IP|:80 |MULTI_IP|>
[/code]
เป็น
[code]
<VirtualHost 127.0.0.1:8080 |IP|:8080 |MULTI_IP|>
[/code]

6.ติดตั้ง mod_rpaf เพื่อแก้ไข ip ของ remote host จาก 127.0.0.1 ที่เรียกมาจาก varnish ให้เป็น client ip ที่เรียกมาจริง
[code]
wget http://stderr.net/apache/rpaf/download/mod_rpaf-0.6.tar.gz
tar xzf mod_rpaf-0.6.tar.gz
cd mod_rpaf-0.6
apxs -cia mod_rpaf-2.0.c
[/code]
แก้ไขไฟล์ /etc/httpd/conf/extra/httpd-includes.conf เพิ่มข้อความ
[code]
<IfModule mod_rpaf-2.0.c>
RPAFenable On
RPAFsethostname On
RPAFproxy_ips 127.0.0.1
RPAFheader X-Forwarded-For
</IfModule>
[/code]

7.สร้างไฟล์ start/stop varnishd
[code]
nano /etc/init.d/varnishd
[/code]
เพิ่มข้อความด้านล่างนี้
[code]
#!/bin/sh
#
# Startup script for varnishd
#
# chkconfig: 2345 80 20
# description: Varnish Cache is an open source, state of the art web application accelerator. \
# You install it on your web server and it makes your website fly.
# processname: varnishd
# config: /usr/local/etc/varnish/default.vcf
#
# By: Korakot E. <korakot [at] pinkkeyhost.com>
# $Id: varnishd.init.d,v 1.0 2011/07/27 23:23:23 kke $

# Source function library.
. /etc/rc.d/init.d/functions

MALLOC="512M"
BINDADDR="0.0.0.0:80"
TELPORT="2000"
CONFIG="/usr/local/etc/varnish/default.vcl"
OPTIONS="-f $CONFIG -s malloc,$MALLOC -T 127.0.0.1:$TELPORT -a $BINDADDR"

if [ -f /etc/sysconfig/varnishd ]; then
. /etc/sysconfig/varnishd
OPTIONS="-f $CONFIG -s malloc,$MALLOC -T 127.0.0.1:$TELPORT -a $BINDADDR"
fi

PATH="$PATH:/usr/local/sbin"

# See how we were called.
case "$1" in
start)
echo -n "Starting varnishd: "
daemon varnishd $OPTIONS
echo
touch /var/lock/subsys/varnishd
;;
stop)
echo -n "Shutting down varnishd: "
killproc varnishd
echo
rm -f /var/lock/subsys/varnishd
;;
status)
status varnishd
;;
restart)
$0 stop
$0 start
;;
*)
echo -n "Usage: $0 {start|stop|restart|status}"
exit 1
esac

if [ $# -gt 1 ]; then
shift
$0 $*
fi

exit 0
[/code]
แก้ permission และกำหนดให้ varnishd ทำงานเมื่อ boot ระบบ
[code]
chmod 755 /etc/init.d/varnishd
chkconfig –add varnishd
chkconfig varnishd on
[/code]

8.กำหนดค่า config ของ varnishd
แก้ไขไฟล์ /usr/local/etc/varnish/default.vcl
[code]
backend default {
.host = "127.0.0.1";
.port = "8080";
}
[/code]
สร้าง/แก้ไขไฟล์ /etc/sysconfig/varnishd กำหนดค่า MALLOC ตามต้องการ (หรือจะแก้ไปในไฟล์ init.d ตรงๆเลยก็ได้ ก็ไม่ต้องสร้างไฟล์นี้)
[code]
MALLOC="1G"
BINDADDR="127.0.0.1:80,123.123.123.123:80"
TELPORT="2000"
CONFIG="/usr/local/etc/varnish/default.vcl"
[/code]

9.ทำการ rewrite config vhosts ของ apache ใหม่ตามไฟล์ template ที่ได้แก้ไขไป
[code]
echo "action=rewrite&value=httpd" >> /usr/local/directadmin/data/task.queue
[/code]
รอประมาณ 1 นาที ให้ cron ทำงาน
[code]
/etc/init.d/httpd restart
/etc/init.d/varnishd start
[/code]

เป็นอันเสร็จครับ ทดสอบเข้าเว็บ โดยเข้าทาง port 80 ธรรมดา

โดยสามารถไปดูบทความต้นฉบับได้นี่ครับ
Install Varnishd on CentOS+DA
โดยพี่แมน KKE

The post 0206 | How to install Varnish on CentOS+DA appeared first on :) ไอกอล์ฟ.

เอา code ด้านล่างนี้ไปไว้ในส่วนหัวของไฟล์
[code lang=”php”]
ob_start();
$cachefile = "cache/test.html";
if (file_exists($cachefile)) {
echo file_get_contents($cachefile);
exit();
}
[/code]

แล้วนำส่วนนี้ไปวางไว้ในส่วนท้ายสุดของไฟล์ครับ
[code lang=”php”]
$fp = fopen($cachefile, ‘w’);
fwrite($fp, ob_get_contents());
fclose($fp);
ob_end_flush();
[/code]
อธิบายคร่าวๆคือ การเรียกครั้งแรก จะตรวจสอบก่อนว่า มีไฟล์ test.html อยู่ใน folder ชื่อ cache หรือไม่ ถ้ามี ก็ให้ include ออกมาแสดงเลย แต่ถ้าไม่มีก็ให้ทำงานตามปกติ ต่อไป แล้วทำการเขียนไฟล์ test.html ลงไป เมื่อมีคนอื่นมาเรียกหน้านี้ซ้ำอีก ก็จะไปเรียกไฟล์ test.html มาแสดงได้เลย ไม่จำเป็นต้องประมวลผลใหม่
เวลาเอาไปใช้งานจริง ตรงชื่อไฟล์ อาจจะเอา url หรือค่าอะไรสักอย่าง ที่แต่ละหน้าไม่เหมือนกัน หรือเป็น id ในแต่ละหน้านั้น มาแปลงเป็น md5 ก่อนก็ได้แล้ว ชื่อไฟล์จะได้ไม่ซ้ำกัน
เช่น url เป็น www.domain.com/test.php?id=1&page=2
[code lang=”php”]
$cachefile = "cache/".md5($_SERVER[‘REQUEST_URI’]).".html";
[/code]
หรือจะทำยังไงก็ได้ ครับ แล้วแต่จะออกแบบ ครับ
ลองเอาไปปรับใช้ดูนะครับ พอดีก็มั่วๆเอา ไม่ได้เก่งอะไรมากมายครับ พอดีไปเจอมากจากเว็บต่างประเทศอีกทีครับ แล้วมาปรับใช้กับหน้าแสดง vdo ของเว็บผม

ที่มา : http://www.theukwebdesigncompany.com/articles/php-caching.php

The post 0196 | มาทำ cache file อย่างง่ายกัน appeared first on :) ไอกอล์ฟ.

พิมพ์ตามไปทีละบรรทัด เดี๋ยวก็ดีเอง? มาเริ่มเลยแล้วกัน

[sourcecode language=”plain”]
wget http://xcache.lighttpd.net/pub/Releases/1.3.0/xcache-1.3.0.tar.gz
tar xzf xcache-1.3.0.tar.gz
cd xcache-1.3.0
phpize
./configure –enable-xcache –enable-xcache-optimizer
make install clean
cat xcache.ini >> /usr/local/lib/php.ini
[/sourcecode]
หลังจากนั้น เอาบรรทัดด้านล่างนี้ เพิ่มก่อนที่จะโหลด ioncube ไว้ใน [zend]
[sourcecode language=”plain”]
zend_extension =/usr/local/lib/php/extensions/no-debug-non-zts-20060613/xcache.so
[/sourcecode]
แล้วลบบรรทัดใน section [xcache-common] ออกให้หมด แล้วแก้ค่าใน section [xcache] ให้เหมาะสม
[sourcecode language=”plain”]
xcache.size = 32M
xcache.count = 4 ;จำนวน core cpu
xcache.optimizer On
[/sourcecode]
หลังจากนั้นก็ restart apache ก็เป็นอันเสร็จครับ

The post 0115 | How to install Xcache appeared first on :) ไอกอล์ฟ.

ผลก็คือ Mysql ทำงานน้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด Load ลดลงทันตา ทั้งๆที่คนเข้าเว็บเยอะกว่าเดิมในบางวัน

สังเกตุบริเวณที่วงเอาไว้นะครับ จะเห็นว่า Load มันลดลง? ถ้ารู้ว่าลงแล้ว มันจะลดจาก 1.3-1.5? แล้วเหลือประมาณ 0.5-0.7

เว็บใครที่มีลูกค้าใช้ smf อยู่ แล้วคนเข้าเยอะๆ ลองติดตั้งดูครับ มันช่วยได้เยอะเลย

The post 0045 | รู้อย่างนี้ ลงมาตั้งนานแล้ว appeared first on :) ไอกอล์ฟ.

มาดูวิธีติดตั้งกันเลยครับ (ง่ายมากๆ) 🙂
[code lang=”plain”]
mkdir /usr/local/updatescript
cd /usr/local/updatescript
wget http://tools.web4host.net/update.script
chmod 755 update.script
./update.script EACCELERATOR
[/code]

แค่นี้แหละครับ คราวนี้ก็มาถึงขั้นตอนการตั้งค่าใน php.ini

[code lang=”plain”]
nano /usr/local/lib/php.ini
[/code]
เพิ่มค่าเหล่านี้ในส่วนถัดจาก Windows Extensions
ในส่วนของ no-debug-non-zts-20020429 ดูดีๆด้วยนะครับ ว่าของคุณเป็นอะไร
[code lang=”plain”]
zend_extension="/usr/local/lib/php/extensions/no-debug-non-zts-20020429/eaccelerator.so"
eaccelerator.shm_size="32" ; ขนาด memory ถ้าแรมเยอะๆ ปรับเป็น 128 แบบผมก็ได้ครับ
eaccelerator.cache_dir="/tmp/eaccelerator"
eaccelerator.enable="1"
eaccelerator.optimizer="1"
eaccelerator.check_mtime="1"
eaccelerator.debug="0"
eaccelerator.filter=""
eaccelerator.shm_max="0"
eaccelerator.shm_ttl="0"
eaccelerator.shm_prune_period="0"
eaccelerator.shm_only="0" ; หากไม่ต้องการให้เขียนลงดิส แก้เป็น 1 ครับ
eaccelerator.compress="1"
eaccelerator.compress_level="9"
[/code]

ก็มีแค่นี้แหละครับ หลังจากนั้นก็ restart ได้เลย
[code lang=”plain”]
/etc/init.d/httpd restart
[/code]

ออ เกือบลืม หากติดตั้ง Zend Optimizer เอาไว้ ให้เอาออกด้วยนะครับ ใส่ ; เอาไว้ด้านหน้า ก็ได้ครับ

The post 0042 | How to install eAccelerator appeared first on :) ไอกอล์ฟ.

นอกเรื่องมาเยอะแล้ว มาดูวิธีติดตั้งกันเลยดีกว่าครับ

ให้เข้าไปที่เว็บ http://pecl.php.net/package/APC มองหาเวอร์ชั่นล่าสุด ที่มันเขียนว่า stable แล้วทำการโหลดมาซะ (ณ ตอนนี้คือ 3.0.19 )

[code lang=”plain”]
cd /usr/local/directadmin/customapache
wget http://pecl.php.net/get/APC-3.0.19.tgz
tar -zxvf APC-3.0.19.tgz
cd APC-3.0.19
/usr/local/bin/phpize
./configure –enable-apc –enable-apc-mmap –with-php-config=/usr/local/bin/php-config
make
make install
[/code]

หากเสร็จแล้ว มันจะแสดงที่อยู่ของไฟล์ apc.so ก็ จำๆไว้ด้วยแล้วกันนะ
หลังจากนั้น เรามาแก้ไขไฟล์ php.ini กันครับ
[code lang=”plain”]
nano /usr/local/lib/php.ini
[/code]

โดยเอาค่าด้านล่างนี้ เอาไปไว้หลัง Windows Extensions ครับ
[code lang=”plain”]
extension="/usr/local/lib/php/extensions/no-debug-non-zts-99999999/apc.so"
apc.shm_size = 32
[/code]

หลังจากนั้น ก็ restart httpd
[code lang=”plain”]
/etc/init.d/httpd restart
[/code]

เสร็จแล้วครับ
ผลจะเป็นยังไง ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ เดี๋ยวรอ สักวัน สองวัน ตะเอากราฟของ MRTG มาให้ดูครับ ว่าจะเป็นยังไงบ้าง

The post 0041 | How to install APC appeared first on :) ไอกอล์ฟ.

ตัวแรกคือ WP-Optimize

หน้าตามันก็เหมือนกับในรูปด้านบนนั้นแหละครับ ปลั๊กอินตัวนี้ ผมชอบมาก ที่มันเมนู Remove all Post revisions? เจ้า post revisions เนี้ยแหละ เป็นอีกหนึ่งปัญหา database บวม หาบล็อกนั้น เปิดมานาน และมีการ post เยอะๆ? เคยสังเกตุกันไหมว่า เวลาเราบันทึกไปแล้ว? ด้านล่าง ของหน้าที่เอาไว้เขียนเรื่อง มันจะมีเมนูนึงชื่อว่า Post Revisions และมันจะสามารถย้อนกลับไป ก่อนหน้าที่เราจะ save ครั้งล่าสุดได้ ก็เพราะว่า เจ้า wordpress นี้มันจะเก็บประวัติการแก้ไขของเราเอาไว้ ? และมันจะบันทึกทุกครั้ง ที่เรากด save? นี่แหละ สาเหตุที่ทำให้ฐานข้อมูลของเรา อ้วนเอา อ้วนเอา? แต่ปลั๊กอินตัวนี้ มันสามารถช่วยเราลบออกไปได้ ซึ่งมันก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บเอาไว้ ทำให้ฐานข้อมูลเราเล็กลงไปได้เกือบครึ่งเลยละครับ

เมื่อเลื่อนลงมาด้านล่างนิดนึง จะเห็นตารางแสดงขนาดของฐานข้อมูลของเรา ว่าขนาดเท่าไหร่ และมันจะบอกด้วยว่า ตารางไหนที่ต้องการ Need to Optimize?? วิธีก็คือ ให้เราไปติ๊กถูก หน้าเมนู Optimize database tables? ที่อยู่ด้านบนของตาราง ออ เมื่อกี้ก็ลืมบอกให้ไป เอาเป็นว่า? ที่มีช่องให้ติ๊กถูกนั้น ก็เลือกให้หมดเลยครับ เพราะทุกอัน ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บเอาไว้? หลังจากนั้นก็กดปุ่ม Process ได้เลย

ด้านบนนี้ก็คือรูป แสดงขนาดของฐานข้อมูลที่ลดไปได้? จะเห็นได้ว่า ลดไปได้ 1.4 MB เลยทีเดียว

ตัวที่สอง คือ WP Super Cache

ตัวนี้ก็ทำให้ blog ของเราทำงานได้เร็วขึ้นเยอะ เพราะมันจะไปสร้างไฟล์ที่เป็น static เอาไว้ ซึ่งทำให้ server ไม่ต้องประมวลผลทุกครั้ง ที่มีการเรียกดู

ตัวนี้ จะบอกถึงวิธืการติดตั้งสักเล็กน้อย เพราะมันจะไม่เหมือน ปลั๊กอินตัวอื่นสักเท่าไหร่

1.ทำการอัพโหลดไปไว้ที่ wp-content/plugins เหมือนปลั๊กอินตัวอื่นๆ

2.หลังจากนั้นทำการ chmod?? folder?? wp-content และไฟล์? .htaccess ให้เป็น 777 เสียก่อน

3. ทำการเปิดใช้งานตามปกติ เหมือนปลั๊กอินทั่วๆไป

4. ไปที่เมนู ตั้งค่า ใน wordpress? เลือกเมนู WP Super Cache? คลิกเลือกที่ ON เพื่อเปิดการใช้งาน และกด update status

แค่นี้ก็เปิดใช้งานได้แล้วครับ

ต่อมาตัวที่สาม คือ GZippy

ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า เวอร์ชั่นใหม่ๆ มันจะปิดการทำงานไว้ทำไม? เพราะข้อดีของมันก็คือ ทำให้ข้อมูลที่ส่งออกมาจาก server มีขนาดเล็กลง ทำให้ผู้เปิด สามารถเปิดหน้าเว็บได้เร็วขึ้น ถ้าคิดว่า มันจะมีผลต่อการทำงานของ server ทำให้ server ทำงานหนักขึ้นหรือไม่? ขอบอกว่าไม่ ในตอนแรก ผมก็คิดว่า มันจะทำงานหนักขึ้นมากเหมือนกัน? แต่ผมได้เคยถาม icez มาแล้ว? และเค้าได้ทดสอบกับเว็บที่มีคนเข้าเยอะพอสมควร ผลก็คือ cpu มีการใช้งานเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แค่นั้นเอง

gzip compression กับการใช้งาน CPU

รับมือเว็บ 250 req/sec

เท่าที่ทดสอบกับ blog ผมมา ทั้ง 3 ตัวทำงานได้ดี ไม่มีปัญหาอะไรครับ ถ้าหากเจอตัวที่ทำงานได้ดีกว่า จะมา update กันอีกรอบครับผม

The post 0034 | มาติดจรวจให้ WordPress กัน appeared first on :) ไอกอล์ฟ.